วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ตัวอย่างคำสั่ง SQL


ตัวอย่างคำสั่ง SQL

คำสั่ง Select
คำสั่ง Select ใช้เป็นประโยคคำสั่งในการส่งออกเรคคอร์ด ตามเกณฑ์ในการเลือก
ไวยากรณ์
SELECT fieldname1, fieldname2,...
FROM tablename1, tablename2,...
[Where Condition]
[Group By]
[Having]
[Order By];
[ ] –
ตัวเลือก
แสดงทุกฟิลด์และทุกเรคคอร์ด ใน table เดียว เช่นการข้อทั้งหมดใน table ชื่อ publishers
SELECT * FROM Publishers ;
แสดงบางฟิลด์ ซึ่งชื่อฟิลด์ ที่มีเครื่องหมายพิเศษ หรือมีการเว้นวรรคให้อยู่ในวงเว็บก้ามปู [ ]
SELECT PubID, [Company Name], Address FROM Publishers;
แสดงฟิลด์ที่เป็น expression และตั้งชื่อใหม่ (ให้ใช้ As)
SELECT Author, 2000 - [Year Born] As Age FROM Authors;
การใช้ฟังก์ชัน aggregate
SELECT COUNT ([Year Born]) FROM Authors;
การเลือกเฉพาะเรคคอร์ด ที่ต้องการด้วย WHERE clause
SELECT Name, City FROM Publishers WHERE State = ‘CA’;
การเลือกเฉพาะเรคคอร์ดด้วย WHERE Clause หลายเงื่อนไขต้องเชื่อมด้วย AND หรือ OR เช่น state เป็น CA และ Name ขึ้นต้นด้วย M
SELECT * FROM Publishers WHERE State = ‘CA’ AND name LIKE ‘m%’;
การเรียงและจัดกลุ่ม
การเรียงใช้ ORDER BY clause
SELECT * FROM Publishers ORDER BY [Company Name] ;
การเรียงจากน้อยไปมากให้ใช้คีย์เวิร์ด DESC ต่อท้ายฟิลด์ต้องการเรียงจากน้อยไปมาก
SELECT * FROM Publishers ORDER BY State, City DESC;
การจัดกลุ่มใช้ GROUP BY Clause
SELECT [Year Published], Count (*) As Title In Year FROM Titles
GROUP BY [Year Published];
ให้แสดงจำนวนหนังสือใน 10 ปีสุดท้าย
SELECT TOP 10 [Year Published], COUNT (*) As Title In Year FROM Titles
GROUP BY [Year Published] ORDER BY [Year Published] DESC;
การคัดเลือกด้วยเขื่อนไขของ HAVING Clause เช่น แสดงเฉพาะที่มีจำนวนหนังสือมากกว่า 50
SELECT [Year Published], COUNT (*) As Title In Year FROM Titles
GROUP BY [Year Published] HAVING COUNT ((*) >50);
คิวรี่ย่อย
คิวรี่ย่อย เป็นการใช้ประโยคคำสั่ง Select ภายในประโยคคำสั่ง Select อีกคำสั่งสำหรับการค้นหาที่ซับซ้อน
SELECT * FROM Title WHERE Pub ID =
(SELECT pubID FROM Publishers WHERE Name = ‘MACMILLIAN’);
JOIN
JOIN ใช้สำหรับการดึงข้อมูลจาก 2 table ที่สัมพันธ์กับผ่านฟิลด์ร่วม ถ้าแถวของ table แรกแสดงตามฟิลด์ของ table ที่สอง ให้ใช้ ON clause ในคำสั่ง JOIN
SELECT Title.Title, Titles. [Year Published], Publishers.Name FROM Titles
INNER JOIN Publishers ON Titles.PubID = Publishers.PubID
การใช้ไวยากรณ์ tablename.fieldname เช่น Titles.PubID เมื่อชื่อฟิลด์มีอยู่ใน 2 table ที่เชื่อมกัน
นอกจากมี LEFT JOIN สำหรับการแสดงเรคคอร์ดของ table แรกทั้งหมดถึงแม้จะมีเรคคอร์ดของ table แรกมีค่าของฟิลด์ที่ไม่ตรงกับฟิลด์เชื่อมของ table ที่สอง
SELECT Titles.Title, Titles.[Year Published], Publishers.Name FROM Titles
LEFT JOIN Publishers ON Titles.PubID = Publishers.PubID;
RIGHT JOIN สำหรับการแสดงเรคคอร์ดของ table ที่สองทั้งหมด ถึงแม้ว่าจะมีเรคคอร์ดของ table ที่สองมีค่าของฟิลด์ที่ไม่ตรงกับฟิลด์เชื่อมของ table แรก
UNION
การนำ table 2 ต่อกัน สามารถทำได้โดยใช้คีย์เวิร์ด UNION
SELECT Name, Address, City FROM Customers
UNION SELECT CompanyName, Address, City FROM Suppliers
คำสั่ง Insert Into
คำสั่ง INERT INTO ใช้ในประโยคคำสั่งสำหรับการเพิ่มเรคคอร์ดใหม่
ไวยากรณ์
INERT INTO tablename [(fieldname1, fieldname2,...)]
VALUES (value1, value 2,...);
[ ]
ตัวเลือก
หมายเหตุจำนวน value ต้องเท่ากับ fieldname
INERT INTO Authors (Author, [Year Born] VALUES (‘Frank Whale’, 1960);
คำสั่ง Update
คำสั่ง UPDATE ใช้ในประโยคคำสั่งสำหรับการปรับปรุงค่าในเรคคอร์ด
ไวยากรณ์
UPDATE tablename
SET fieldname = expression
WHERE [condition];
[ ]
ตัวเลือก
UPDATE Authors SET [Year Born] = 1961 WHERE Author = ‘Frank Whale’;





ที่มา:http://www.widebase.net/database/sql/sqlquery/sqlquery12.shtml

คำสั่ง SQL


คำสั่ง SQL

               ภาษา SQL (สามารถอ่านออกเสียงได้ 2 แบบ คือ เอสคิวแอล” (SQL) หรือ ซีเควล” (Sequel) ย่อมมาจาก Structured Query Language หรือภาษาในการสอบถามข้อมูล เป็นภาษาทางด้านฐานข้อมูล ที่สมารถสร้างและปฏิบัติการกับฐานข้อมูลแบบสัมพันธ์ (Relational Database) โดยเฉพาะ และเป็นภาษาที่มีลักษณะคลายกับภาษาอังกฤษ ภาษา SQL ถูกพัฒนาขึ้นจากแนวคิดของ Relational Calculus และ Relational Algebra เป็นหลัก ภาษา SQL เริ่มพัฒนาครั้งแรกโดย Almaden Research Center ของบริษัท IBM โดยมีชื่อเริ่มแรกว่า ซีเควล” (Sequel) ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น เอสคิวแอล” (SQL) หลังจากนั้นภาษาSQL ได้ถูกนำมาพัฒนาโดยผู้ผลิตซอฟต์แวร์ด้านระบบจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์จนเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน โดยผู้ผลิตแต่ละรายก็พยายามที่จะพัฒนาระบบจัดการฐานข้อมูลของตนให้มีลักษณะเด่นเฉพาะขึ้นมา ทำให้รูปแบบการใช้คำสั่ง SQL มีรูปแบบที่แตกต่างกันไปบ้าง เช่น Oracle Access SQL Base ของ Sybase Ingres หรือ SQL Server ของ Microsoft เป็นต้น ดังนั้นในปี .. 1986 ทางด้าน American National Standards Institute (ANSI) จึงได้กำหนดมาตรฐานของ SQL ขึ้น อย่างไรก็ดี โปรแกรมฐานข้อมูลที่ขายในท้องตลาด ได้ขยาย SQL ออกไปจนเกินข้อกำหนดของ ANSI โดยเพิ่มคุณสมบัติอื่น ที่คิดว่าเป็นประโยชน์เข้าไปอีก แต่โดยหลักทั่วไปแล้วก็ยังปฏิบัติตามมาตรฐานของ ANSI ในการอธิบายคำสั่งต่าง ของภาษาSQL


    ประเภทของคำสั่งในภาษา SQL 
      
      ภาษา SQL เป็นภาษาที่ใช้งานได้ตั้งแต่ระดับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลพีซีไปจนถึงระดับเมนเฟรม ประเภทของคำสั่งในภาษา (SQL The Subdivision of SQL) แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
   
    1. ภาษาสำหรับการนิยามข้อมูล(Data Definition Language :DDL) ประกอบด้วยคำสั่งที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้างข้อมูลว่ามีคอลัมน์อะไร แต่ละคอลัมน์เก็บข้อมูลประเภทใด รวมถึงการเพิ่มคอลัมน์การกำหนดดัชนี การกำหนดวิวหรือตารางเสมือนของผู้ใช้ เป็นต้น

    2. ภาษาสำหรับการจัดการข้อมูล (Data Manipulation Language :DML) ประกอบด้วยคำสั่งที่ใช้ในการเรียกใช้ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงข้อมูล การเพิ่มหรือลบข้อมูล เป็นต้น

    3. ภาษาควบคุม (Data Control Language : DCL)ประกอบด้วยคำสั่งที่ใช้ในการควบคุมการเกิดภาวะพร้อมกัน หรือการป้องกันการเกิดเหตุการณ์ที่ใช้หลายคนเรียกใช้ข้อมูลพร้อมกัน และคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมความปลอดภัยของข้อมูลด้วยการกำหนดสิทธิ์ของผู้ใช้ที่แตกต่าง เป็นต้น




ที่มา:http://itd.htc.ac.th/st_it50/it5012/P_2/Implement%20of%20Database/images/B3.htm

ข้อสอบ O-NET [วิชาคอมพิวเตอร์]


ข้อสอบ O-NET [วิชาคอมพิวเตอร์]




1.ข้อใดไม่ใช่ระบบปฏิบัติการที่นำมาใช้บนอุปกรณ์พกพา
ประเภท  Smartphone.
1.  Ubumtu       2.  Iphone  os
3.  Android      4.  Symbian
เฉลยข้อ  1

2.ไฟล์ประเภทใดในข้อต่อไปนี้เก็บข้อมูลในลักษณะตัวอักษร.
1. 
ไฟล์เพลง  MP 3 (mp 3)
2. 
ไฟล์รูปประเภท  JPEG (jpeg)
3. 
ไฟล์แสดงผลหน้าเว็บ (html)
4. 
ไฟล์วีดีโอประเภท  Movie (movie)
เฉลยข้อ  3

3.ลิขสิทธิ์โปรแกรมประเภทรหัสเปิด(Open Source)อนุญาต
ให้ผู้ใช้ทำอะไรได้บ้าง.
.  นำโปรแกรมมาใช้งานโดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์
.  ทดลองใช้โปรแกรมก่อนถ้าพอใจจึงจ่ายค่าลิขสิทธิ์
.  แก้ไขปรับปรุงโปรแกรมเองได้
1. 
ข้อ  กับ  ข้อ        2.  ข้อ    กับ  ข้อ 
3. 
ข้อ    อย่างเดียว      4.  ข้อ    อย่างเดียว
เฉลยข้อ  4

4.สัญญาณในคอมพิวเตอร์เป็นสัญญาณชนิดใด
  1.  อนาล็อก                2.  ดิจิตอล 
  3
.  ไฮบริค                  4.  ไฟฟ้า
เฉลยข้อ2
            
5.ห้องสมุดแห่งหนึ่งต้องการพัมนาระบบยืมหนังสือโดยสามารถ
บันทึกข้อมูลการยืมหนังสือลงบนบัตรอิเลคโทรนิกส์โดยไม่ต้อง
เขียนด้วยมือระบบนี้ควรใช้เทคโนโลยีในข้อใด.
1.  Smart  Card          2.  Fingerprint
3.  Barcode                 4.  WiFi
เฉลยข้อ  3

6.ผู้ประกอบอาชีพเป็นผู้พัฒนาเว็บไซต์ต้องเชี่ยวชาญความรู้
ด้านใดบ้างจากตัวเลือกต่อไปนี้.
.  ฮาร์แวร์คอมพิวเตอร์       .  ระบบปฎิบัติการ
.  เว็บเซิร์ฟเวอร์                   .  HTML
.  ระบบฐานข้อมูล                .  ภาษาจาวา(Java)
1. 
ข้อ  และ                     2.  ข้อ    และ 
3. 
ข้อ    และ                     4.  ข้อ    และ 
เฉลยข้อ  3

7.ข้อใดเป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่อข้อมูลไร้สายทั้งหมด.
1.  Wi-Fi  ,  IP              2.  Wi-Fi  ,Bluetooth
3.  3G  ADSL                4.  3G    Ethernet
เฉลยข้อ  2

8.ข้อใดไม่ใช่ข้อเสียของการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์.
1. 
การทำผิดกฏหมายลิขสิทธิ์มีความผิดทางอาญา
2. 
เป็นช่องทางหนึ่งในการระบาดของไวรัสคอมพิวเตอร์
3. 
ผู้ใช้จะไม่ได้รับการบริการจากผู้พัมนาถ้าหากมีปัญหาการใช้งาน
4. 
ทำให้ผู้พัมนาซอฟแวร์ไม่มีรายได้เพื่อประกอบการและพัฒนาต่อไปได้
เฉลยข้อ  2

9.ข้อใดต่อไปนี้ถูกต้องที่สุด.
1. 
การบันทึกข้อมูลลงแผ่นดีวีดีใช้เทคโนโลยีแบบแม่เหล็ก
2. 
หมายเลขไอพีเป็นหมายเลขที่ใช้กำกับ  Network Interce Card
3. 
หน่วยความจำสำรองเป็นหน่วยความจำที่มีคุณลักษณะแบบ Volntile
4. 
รหัส ACIIและEBCIDICเป็นการวางรหัสตัวอักษรที่ใช้ขนาด  8 บิด
เฉลยข้อ  3 

10.ข้อใดต่อไปนี้ถูกต้องที่สุด
1.การบันทึกข้อมูลลงแผ่นดีวีดีใช้เทคโนโลยีแบบแม่เหล็ก
2.หมายเลขไอพีเป็นหมายเลขที่ใช้กำกับ Network Interface Card
3.หน่วยความจำสำรองเป็นหน่วยความจำที่มีคุณลักษณะแบบ Valatile
4.รหัส ASII และ EBIDIC เป็นการวางรหัสตัวอักษรที่ใช้ขนาด 8 บิต
 เฉลยข้อ  4



ที่มา:https://krupaga.wordpress.com/category